ลูกอมปรอทย้อนยุคหลวงปู่กลั่น
กระโถนข้างธรรมมาสน์ (เรื่องแก้วจักรพรรดิ์)
ฉบับที่ 31 หน้า 2
ถาม : (คุยเรื่องไปต่างประเทศ และไปทำงานและซื้อที่ดิน ที่กาญจนบุรี )
ตอบ: โดยปกติแล้วสถานที่ไหนมีอากาศเทวดาดูแล สถานที่นั้นจะสำคัญมาก อย่างกรุงเทพมหานคร ของเรานี่ เจ้าพ่อหลักเหมืองท่านเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ แล้วเจ้าพ่อหลักเหมือง เมืองกาญจน์ ท่านเป็นพรหมชั้นที่เจ็ด แสดงว่าต้องสำคัญสุด ๆ เลย ไปบนท่านเลย ไปไหนถ้าเคารพเจ้าที่เอาไว้ ยังไง ๆ ท่านก็สงเคราะห์ให้ก็สบาย ไปไหนถ้ามองข้ามท่าน บางทีอะไร ๆ มันก็ขรุขระ ไปออสเตรเลียก็เหมือนกัน เจ้าที่เขาไม่เป็นฝรั่งดอกจ้ะ จุดธูปบอก ตรงไหนก็ได้
ถาม: ต้องว่าภาษาอังกฤษไหมคะ ?
ตอบ: ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง เทวดาท่านรู้ทุกภาษาอยู่แล้ว ไม่ต้องเล่นเป็นภาษาอังกฤษ
ถาม: ทำไมมีทุกข์มาก ?
ตอบ: มันก็มีเท่ากับคนอื่นนั้นแหละ เป็นธรรมดา รักตัวเองให้มากเข้าไว้ แล้วจะไม่ทุกข์ จำไว้แค่นั้นพอ
ถาม: ต้องทำกรรมอะไร ?
ตอบ: เรื่องของกรรมเป็นคำรวม มันแปลได้ทั้งดีและชั่ว กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรม คือความชั่ว สำคัญที่ว่ากำลังใจของเรา ถ้าอยู่กับตัวเองมันไม่ทุกข์มาก เวลาไปฝาก กับคนอื่นเขาไว้ มันก็ทุกข์มาก ซิจ้ะ เก็บกลับคืนมา เอาดอกไว้ด้วย ฝากไว้นานแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์
ถาม: ทำอย่างไรถึงไม่ทุกข์อย่างนั้นอีก ?
ตอบ: เกิดอีกเมื่อไร ก็ทุกข์อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ สำหรับเรื่องของความผิดหวังมันดีตรงที่ว่า ทำให้เราเห็นทุกข์ ในเมื่อเราเห็นทุกข์ได้ เราจึงเห็นธรรมะได้ ถ้าหากไม่ทุกข์มาก เราก็ไม่เข็ดใช่ไหม มันยังอยากเกิดอีก คราวนี้ถามตัวเองว่า ถ้าเกิดมาแล้วทุกข์อย่างนี้อีก เอาอีกไหม ?
ถาม: ไม่เอา ?
ตอบ: ไม่เอา ก็จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก ถ้าอย่างนั้นเกิดใหม่จะได้แช่งให้ทุกข์อีกเยอะ ๆ
ถาม: แล้วทำบุญอย่างไรจะได้สมหวัง ?
ตอบ: ก็ทาน ศีล ภาวนา ทุกอย่างเอาให้ครบเลย แล้วก็บริจาคแฟนเป็นทานไปด้วย ถึงเวลาจะได้เยอะ ๆ เลย ให้ทานเกิดมาจะรวย รักษาศีลจะเกิดมาสวย ภาวนาเกิดมาจะปัญญาดี คนสวย คนรวยคนปัญญาดี ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นคู่ครองทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเอาทุกอย่างเลย ถึงเวลาจะได้เยอะ ๆ ตั้งใจว่าเราจะไปนิพพานในชาตินี้ เอาให้มันสุดยอดไปเลย ถ้ามันไปไม่ได้ เผลอเกิดใหม่เมื่อไรแล้วสบายเพราะมันตุนไว้เต็มที่แล้ว
ถ้ามีโอกาสก็โน้นไปซ่อมพระเก่า สร้างพระเก่าขัดส้วมบ้าง ถ้าจะเอาให้สวยครบทุกกระเบียดนิ้วเลย สร้างพระเป็นมหาอำนาจ เกิดเมื่อไร เป็นผู้นำเขา เหนือกว่าเขา แต่ซ่อมพระนี่จะได้เป็นเบญจกัลยาณี สวยพร้อม เป็นผู้มีศีลมีเมตตาเป็นปกติ จิตใจเยือกเย็น ยิ่งสวยหนักเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวตอนโน้นต้องประกวดนางงามจักรวาลไม่พอแล้ว ต้องหลาย ๆ จักรวาล ไปที่ไหนก็แข่งกับเขาได้เอาไหม
ถาม: (ถามเรื่องแก้วจักรพรรดิ)
ตอบ: รูปร่างเป็นอย่างไร ก็เหมือนไข่ไก่ ถามว่าสีอะไร บอกไม่ถูก มันหลายสีรวมกัน เหมือนกับแก้วแล้วก็มีลายเป็นทอง แต่ว่าดูด้วยสายตาเหมือนกับทึบ แต่ถ้าเอามาส่องไฟกลับมองทะลุได้ แปลกมาก
ถาม: เกิดอย่างไร ?
ตอบ: แก้วจักรพรรดิ เกิดจากการหุงปรอท ในสมัยโบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุก็จะมีการหุงปรอท ถ้าของฝรั่งตามวิทยาศาสตร์ก็คือโลหะธาตุอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นโลหะเหลว แต่ว่าทางจิตศาสตร์หรือไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่ามันมีชีวิตอยู่ มันสามารถไปได้ มาได้ กินอาหารได้ แล้วคนที่เขาเล่น พวกเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับปรอท เขาจะไปดักจับมันเสร็จแล้วก็เอามา ทำการหุงด้วยสมุนไพร จนมันจับตัวแข็งขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าทำปรอทสำเร็จ
ที่นี้มีอยู่หลายระดับ พอทำไปถึงระดับหนึ่งจะเป็น มหาเสน่ห์ เรียกว่าใครเห็นก็รักอะไรอย่างนั้น ต่อไปก็ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว แล้วตรงทำเป็นแก้วนั้นแหละที่ปรอทมันจะกลายเป็น แก้วจักรพรรดิ หรือ แก้วราหู แล้วแต่ธาตุปรอท ถ้าธาตุปรอทเป็นธาตุตัวเมีย จะเป็นแก้วราหู จะเป็นองค์เล็ก แต่ถ้าหากว่า ปรอทธาตุเป็นตัวผู้ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ คือ องค์ใหญ่ เคยไปคลำ ๆ พวกอย่างนี้มาพักใหญ่ เหมือนกัน ปรากฏว่าปีนั้นมีพระข้ามไปเรียนวิธีหุงปรอทที่พม่า ๕ องค์ กลับมาสึกเกลี้ยง ขั้นแรกพอเป็นมหาเสน่ห์แล้วทนไม่ได้ สึกหมด สาว ๆ มาหาเยอะ เป็นการทดสอบตัวเอง ได้ดีมาก
ตัวอย่างผู้สำเร็จปรอทของพม่าที่ดังที่สุด ก็คือ ฤๅษีบูบูอ่อง ท่านนุ่งขาวห่มขาว ศึกษาวิชาพวกนี้อยู่บนยอดเขาโป๊ปป้า ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก พุกาม จะไป มันฑะเลย์ จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก เคยไปค้างอยู่ลิงเยอะเป็นบ้านเลย
คราวนี้ว่า พอทำเป็นแก้วได้ ก็จะมีฤทธิ์เหาะได้ โบราณท่านเรียกว่าสำเร็จปรอท พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ เจดีย์ชะเวดากอง ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ คราวธาตุปรอท คล้าย ๆ กับว่ามันเรืองแสงออกมาได้ เขาก็เลยเห็นออกมาเป็นสีแดง ๆ ก็เลยเรียกท่านว่า หลวงพ่อ แก้มแดง เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้
ถาม: แล้วอย่างอานุภาพเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ: แก้วจักรพรรดิจะให้ลาภเป็นส่วนรวม ใครมีแก้วจักรพรรดิอยู่จะเลี้ยงคนสักเท่าไหร่ก็ไม่ต้องหนักใจเลย
ถาม: แล้วแก้วราหูครับ ?
ตอบ: เหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าว่าอันหนึ่งเล็กกว่า อันหนึ่งใหญ่กว่า แก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อได้มาจาก หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่ ลำพูน หลวงพ่อชุ่มท่านมีความคล่องตัวในนิโรธสมาบัติที่สุดเลย บุคคลอื่นเข้านิโรธสมาบัติแค่สามอิริยาบถ คือ ไม่นั่ง ก็นอน ยืนนี่น้อย แต่หลวงพ่อชุ่มท่านทำได้ สี่อิริยาบถเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้หมด นิโรธสมาบัตินี้ สัญญาเวทยิตนิโรธ มันจะไปตัดสัญญา คือความรู้ทั้งหมด และความรู้สึกทั้งหมด ก็เลยไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านใช้ อะไรบังคับร่างกายให้เดินได้ อาจใช้อธิษฐานจิตทับเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ว่าท่านทำได้จริง ๆ
คราวนี้หลวงปู่ชุ่ม ท่านเคยเป็นพี่หลวงพ่อมาหลายชาติ แล้วก็เป็นพี่ที่ ถ้าถึงเวลาก็อาจโดนน้องประหารบ้าง ก็เลยกลัวหลวงพ่อ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็มาหาหลวงพ่อ บอกว่าหลวงน้อง ต่อไปหลวงน้องต้องทำงานใหญ่เพื่อทำงานพระศาสนา คนที่มาหาจะมีจำนวนมากมหาศาล ถ้าหากว่าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดินี้เอาไว้ หลวงน้องก็สามารถที่จะเลี้ยงคน โดยที่ไม่ต้องหนักใจ หลวงจากนั้นไม่นานหลวงปู่ท่านก็มรณภาพไป เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกว่าท่านเองก็เคยทำ ตระกรุดปรอท มาแจกลูกศิษย์แต่ท่านบอกว่าอาจารย์ท่านเก่งกว่าทำเป็นแก้วจักรพรรดิได้ แสดงว่าอาจารย์ของหลวงปู่ชุ่มนี้สุดยอด
ถาม: หลวงพ่อท่านมีกี่องค์ครับ ?
ตอบ: แก้วจักรพรรดิ นี้มีองค์เดียว แล้วมี แก้วราหู อีกองค์หนึ่ง แก้วราหูนี้จริง ๆ แล้ว ตอนนั้นผู้กอง อรรณพ แกเป็นแค่ร้อยตำรวจโทตระเวนชายแดนเอง แต่เป็นที่ถูกใจหลวงปู่ หลวงปู่ก็มอบให้ แล้วเพื่อนก็ยืมไปใช้ ตี๋เล็ก มันยืมไปใช้ แล้วทะลึ่งไปเที่ยวซ่อง หายจ้อยไปเลย ทั้ง ๆ ที่ถัก เอาไว้อย่างดี ไม่มีทางออกไปไหนได้เลย แล้วก็ผูกติดไว้กับสร้อยคอ เล่นเอาคุณอรรณพ เกือบจะบีบคอเพื่อนตาย ปรากฏว่าหลังจากที่หายไปไม่นาน ไปโผล่อยู่กับหลวงพ่อโน้น วิ่งไปหาพวก หลวงพ่อท่านก็เลยเก็บไว้เองทั้งคู่เลยปัจจุบันนี้ก็อยู่กับพระครูปลัดอนันต์เจ้าอาวาสองค์ใหม่
ถาม: แล้วที่หลวงพ่อท่านทำลูกแก้ว ?
ตอบ: หลวงพ่อท่านบอกว่ามีอานุภาพถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของ ของแท้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านทำครั้งแรก ๆ มาครั้งหลัง ๆ นี้ไม่ทราบว่าได้เกินหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าได้ขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของ ท่านปู่พระอินทร์ แล้ว เหมือนกันเลย แสดงว่าท่านปู่พระอินทร์เวลาได้แก้วจักรพรรดิมาก็คงลักษณะเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องมี จักรรัตนะ คือแก้วเจ็ดประการ ก็ประกอบไปด้วย อันดับหนึ่ง จักรแก้ว, อันดับที่สอง ปรินายกรัตนะ คือขุนพลแก้ว, แล้วก็ อัสสะรัตนะ ม้าแก้ว, หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว, อิตถีรัตนะ นางแก้ว, เสร็จแล้วก็มี มณีรัตนะ คือ แก้วมณี มีไว้เพื่อเลี้ยงคน เพราะท่านต้องปราบไปในทวีปทั้งสี่ ในเมื่อเขาอยู่ใต้อำนาจแล้ว เกิดตกระกำลำบากอะไรขึ้นมา ไม่ช่วยเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อจำเป็นต้องช่วยเขาก็ต้องมีพวกนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็ช่วยเขาไม่ไหว ใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องมีให้ครบ มีไม่ครบเป็นไม่ได้ มีอยู่ใน จักกวัตติสูตร ใน อังคุตตรนิกาย ไปเปิดพระไตรปิฎกดูได้ อ่านมานานแล้ว จำไม่ค่อยได้ ต้องไปทบทวนใหม่
เมื่อกี้ที่ว่ายังขาด คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้วนะ มีหน้าที่หาสตางค์ใส่คลัง แต่มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากไปที่ไหน เจอสมบัติก็ขุดมาใส่คลังไว้ ใครมีลูกน้องอย่างนี้รวย
รัชกาลที่สาม ท่านบอกว่า ท่านมีขุนพลแก้ว คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) มีขุนคลังแก้วคือ เจ้าพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) แล้วก็มีนางแก้ว นางแก้วนี้ไม่ใช่มเหสี แต่เป็นลูกสาว โอ้โห….เก่งจริง ๆ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นพระองค์ไหน ของท่านเองท่านว่าถึงไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ก็มีแก้วตั้งสามอย่างแล้ว ท่านก็พอใจแล้ว สมัยรัชกาลที่สามเงินคงคลังล้นท้องพระคลัง ท่านบอกว่าเตรียมไว้ให้น้องคือ รัชกาลที่สี่ เพื่อว่าต่อไปข้างพวกยุโรป คือ พวกฝรั่ง อังกฤษ จะมาเบียดเบียน ถึงเวลาจะได้มีเงินมีทอง สำรองเอาไว้ เพื่อจะได้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ รัชกาลที่สี่ท่านก็เลยใช้เพลิน สบาย ตกลงรัชกาลที่สามเหนื่อยที่สุด เพราะว่า รัชกาลที่สอง พอว่าท่านรับงานได้ ก็ทิ้งงานให้เลย เรียกว่าท่านทำงานแทนรัชกาลที่สอง มาตลอด แล้วก็ทำงานในรัชกาลของตัวเอง แล้วก็เผื่อแผ่ไปยังรัชกาลที่สี่ด้วย ตกลงเท่ากับว่าคนเดียวล่อเสียสามรัชกาล ปัจจุบันนี้ยังเป็น พระสยามเทวาธิราช อยู่ ไหน ๆ ก็เหนื่อยแล้ว ก็เหนื่อยให้ตายไปเลย
ถาม: คือสงสัยว่า แต่ละศาสนาต่างมีคำสอนของตนเองใช่ไหมคะ …(ไม่ได้ยิน)……..?
ตอบ: นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ที่เดียวกันหมดไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ตาม หลักการของแต่ละศาสนาที่สอนถูกก็มี สอนผิดบ้างถูกบ้างก็มี ผิดไปเลยก็มี แต่ว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับกรรมคือการกระทำ ถ้าทำดี เรียกว่า กุศลกรรม ทำชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม กรรมคือการกระทำนั้นส่งผลให้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะต้องการ ไม่ต้องการก็ตาม ถึงเวลาผลนั้นจะเกิด ถ้าเราทำกรรมชั่ว ส่วนของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เหล่านี้ก็รอรับเราอยู่ เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับความชั่วของเรา ถ้าเราทำความดี เทวดา พรหม พระนิพพาน ก็รอเราอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้ว ไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่ที่มีขึ้นมา ก็เพราะว่าเราทำให้มีเอง เหมือนกับบ้าน ถ้าเราไม่สร้างบ้านจะมีไหม มันเกิดจากกระการทำของเรา
ถาม: …………………..
ตอบ: สิ่งที่เราทำ จะเรียกว่ากรรมก็ได้ สิ่งที่เราทำที่ไม่เท่ากันก็เลยให้มีการแบ่งออก เช่นว่า ทำกรรมหนักเอาไว้ก็จะมีนรกแต่ละชั้นแต่ละขุมที่ต่างกันไป ทำความดีเอาไว้ ก็จะมีสวรรค์แต่ละชั้น แต่ละเขตแตกต่างกันไป ถามว่าอะไรมาแบ่ง ? ก็คือ สภาพหยาบ ละเอียด ของจิตของเราเป็นเครื่องแบ่ง อย่างเช่นว่า พรหมมีรูปพรหม ๑๖ ชั้น ก็เกิดจากความหยาบ ละเอียดของจิตของเรา ถ้าหากว่ากำลังจิตของเราเข้าถึงปฐมฌานหยาบ ก็เป็นพรหมชั้นที่ ๑ เป็นปฐมฌานอย่างกลางเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ปฐมฌานอย่างละเอียด เป็นพรหมชั้นที่ ๓ ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ
ถาม: ก็แสดงว่าเมื่อก่อนที่ไม่มีเลย เพราะว่าไม่มีความแตกต่างกันเหรอคะ ?
ตอบ: ก่อนที่จะกำเนิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา ส่วนอันนั้นเขาว่า สภาพจิตของเขาเทียบเท่า อาภัสราพรหม คือ ชั้นที่ ๑๖ จะมีความสว่างไสวมีความมั่นคง แน่วแน่ ลักษณะนั้น คราวนี้โลกของเรา ต้องใช้คำว่ากำเนิดโลกนะ ถือว่าเล่านิทานให้ฟังแล้วกัน กำเนิดโลก โลกจะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ซึ่งทฤษฎีนี้ ฝรั่งว่าเป็น บิ๊กแบงก์ (Big Bang) ถึงเวลาแล้วดวงอาทิตย์จะขยายตัวระเบิดออกมากลืนเอาดาวเคราะห์ทั้งหมดไป
คราวนี้…ลักษณะนี้ของทางพระ เรียกว่า ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก เมื่อถึงเวลาแล้วเกิดฝนตกลงมา ดินที่โดนเผาพอโดนฝน โดนน้ำใหม่ ๆ กลิ่นมันหอม มันก็ลอยสูงขึ้นไป อาภัสราพรหม คือพรหมที่อยู่ข้างบนได้กลิ่นก็อยากรู้อยากเห็น เลยลงมา ลองมาชิมมากินดู เมื่อตัวเองอยู่ด้วยความเป็นทิพย์ กินของหยาบเข้าไปเลยทำให้ร่างกายหยาบ ไม่สามารถเหาะกลับได้ จากแสงสว่างที่เคยมีอยู่ แสงก็หมดไป กลายเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะต้องมีการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เกิดอาการทำในสิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรมก็มี ผิดพลาดไม่เป็นไปตามศีลธรรมก็มี สิ่งเหล่านี้ก็เลยจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับเขาจริง ๆ แล้วมันเกิดจากการกระทำตัวเองแท้ ๆ เลย
ถาม: …………………….
ตอบ: ถ้าหากว่าไปหาจุดกำเนิด ต้องกล่าวถึงแรกเริ่มที่จิตเกิดมาอันนี้ ถ้าว่าไปแล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เป็น อจินไตย ไม่ควรไปคิดผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความบ้า คือมันเสียเวลาคิด แต่ว่าบอกง่าย ๆ ว่าการเกิดของจิตก็ลักษณะเดียวกับแร่ธาตุต่าง ๆ คือว่าพอถึงเวลาภายในจักรวาลของเราที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นจำนวนมากด้วยกัน ถึงเวลาสิ่งต่าง ๆ หมุนวนเข้ามา แล้วก็ผสมรวมกันไปรวมกันมา ถึงวาระหนึ่ง ธาตุหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการผสมรวมที่สมบูรณ์แล้ว จะกลายเป็นธาตุเฉพาะ ๆ ของแต่ละอย่างไป ลักษณะของจิตก็เหมือนกัน แต่ว่าจิตนี้แปลกตรงที่ว่ามันเป็นธาตุรู้ ถ้าตราบใดที่ยังไม่เป็นธาตุรู้อยู่ อย่างโลหะธาตุบางอย่าง อย่างเช่น ปรอท ก็สามารถที่จะมาได้ ไปได้ หนีได้ ลักษณะอีกอย่าง อย่าง เหล็กไหล สามารถกินอาหารได้ สามารถมาได้ หนีไปได้ นี่เขายังไม่มีธาตุรู้นะ เขายังสามารถที่ทำได้ขนาดนั้น
แต่สภาพจิตขนาดอาภัสราพรหมนี่เป็นธาตุรู้ด้วย ที่เรียกว่าเกิดยากเกิดเย็นแสนเข็ญนักหนา ประเภทมองไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายกันเลยว่าเกิดมาจากไหน จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหนลองดูไหม ? ไปค่อย ๆ เสาะหาดู ถ้าเกิดเป็นพระพุทธเจ้าจะรู้ครบทุกอย่างตั้งหน้าตั้งตาเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ อีกไม่เกินสี่อสงไขยกับแสนกัปก็ได้เป็น
ถาม: เคยมีคนบอกว่า จริง ๆ แล้วไม่ได้มีแต่โลกของเรา มีโลกอื่น ๆ ?
ตอบ: มีเยอะแยะไป สุริยจักรวาลของเราที่มีมนุษย์ก็มีดาวตั้งหลายดวง จัการวาลอื่น ๆ ทีมีมนุษย์อีกก็เยอะแยะ ในภาษาบาลีเขาใช้ว่า ทสสหัสสีโลกธาตุ (ทะ-สะ-สะ-หัส-สี-โล-กะ-ธา-ตุ)มีตั้งหมื่นโลกธาตุ
เพราะฉะนั้นสารพัดกาแลคซี่ คงประกอบไปด้วยดวงดาวสิ่งที่มีชีวิตเยอะแยะไปหมด ตราบใดที่ยังมีการกระทำอยู่ ตราบนั้นก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด ยกเว้นถ้าสามารถหลุดพ้นเข้าพระนิพพานได้ก็เป็นอันว่าจบถ้ายังไม่เข้าก็เวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันสุขน้อย ทุกข์มาก
(จาก กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๓๑ หน้าที่ ๒) โดย พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี